เมื่อคนไข้มีการเสียเลือดมากไม่ว่าจากอุบัติเหตุหรือจากการผ่าตัดจำเป็นต้องมีการให้เลือด ( Blood transfusion ) แก่คนไข คนไข้จะได้รับเลือดจากผู้บริจาค ( Donor ) โดยผ่านทางสายยางเข้าสู่เวน ซึ่งมักจะใช้บริเวณหน้าแขนของคนไข้ การให้เลือดนั้นอาจจะให้เลือดทั้งหมด หรือให้เฉพาะน้ำเลือด เพลตเลต หรือเม็ดเลือดขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้รักษา การให้เลือดนั้นผู้ให้ต้องมีอายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไป พร้อมกับตรวจหมู่เลือดรวมทั้งโรคที่ติดต่อทางเลือด เช่น ไวรัสตับอักเสบ เอดส์ จากนั้นจะดูดเลือดของผู้บริจาคออกทางเส้นเวน แล้วจึงนำไปเก็บไว้ในขวดที่มีสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด และสารอาหารสำหรับเซลล์เม็ดเลือด เลือดจะถูกนำไปเก็บในธนาคารเลือด ( Bloob bank ) ที่อุณหภูมิ 4 C สามารถเก็บไว้ได้นาน นายแพทย์ชาวเวียนนา ชื่อ คาล แลนสไตเนอร์ ( Karl Landsteiner ) พบว่าหากมีการถ่ายเลือดผิดหมู่ จะเกิดปฏิกิริยาระหว่างแอนติเจนและแอนติบอดี ( Antigen – antibody ) จับกลุ่มกันตกตะกอน ( Agglutination ซึ่งต่างจากการแข็งตัวของเลือดเมื่อเกิดบาดแผล ซึ่งเรียกว่า Coagulation ) นายแพทย์ผู้นี้ได้แบ่งเลือดออกเป็น 4 หมู่ใหญ่ ๆ คือ เลือดหมู่ A , B , AB และ O ซึ่งมีคุณสมบัติต่างกันคือ เลือดหมู่ A มีแอนติเจน A ที่ผิวเม็ดเลือดแดง มีแอนติบอดี b ในน้ำเลือด เลือดหมู่ B มีแอนติเจน B ที่ผิวเม็ดเลือดแดง มีแอนติบอดี a ในน้ำเลือด เลือดหมู่ AB มีแอนติเจน A และ B ที่ผิวเม็ดเลือดแดง แต่ไม่มีแอนติบอดี เลือดหมู่ O ไม่มีแอนติเจน แต่มีแอนติบอดี ทั้ง a และ b ในน้ำเลือด การให้เลือดโดยทั่วไปจะให้เลือดกับคนที่มีเลือดหมู่เดียวกันจะปลอดภัยที่สุด แต่ถ้าหาไม่ได้จริง ๆ จะต้องไม่ให้แอนติเจนของผู้ให้ตรงกับแอนติบอดีของผู้รับเด็ดขาด มิฉะนั้นเลือดจะตกตะกอน หลักการให้เลือดอาจสรุปเป็นแผนผัง
จากผังข้างต้นเลือดหมู่ O จะให้เลือดได้กับคนทุกหมู่ จึงมักเรียกว่า ผู้ให้สากล () แต่คนที่มีเลือดหมู่ O นี้จะรับได้เฉพาะจากคนที่มีเลือดหมู่ O เท่านั้น สำหรับคนหมู่ AB รับเลือดได้จากทุกหมู่เลือด จึงเรียกว่า ผู้รับสากล () แต่ไม่สามารถให้เลือดกับคนหมู่อื่นได้เลย ส่วนเลือดหมู่ A รับได้จากหมู่ O และหมู่ของตัวเอง รวมทั้งสามารถให้เลือดแก่คนหมู่ AB ได้อีก คนเลือดหมู่ B รับได้จากหมู่ O และหมู่ของตัวเอง รวมทั้งสามารถให้เลือดแก่คนหมู่ AB ได้อีกด้วย ในประชากรทั้งหมดคนที่มีเลือดหมู่ O จะมีมากที่สุดมีอยู่ราว ๆ 40 – 50 % หมู่ A มีประมาณ 40 % หมู่ B มีอยู่ราว ๆ 10 -50 % หมู่ AB มีอยู่ราว ๆ 5 % หากเขียนตารางรับและการให้หมู่เลือดจะได้ดังนี้
ถ้าผู้รับมีเลือดหมู่ B จะรับเลือดจากหมู่ AB ไม่ได้ เพราะหมู่ AB มีแอนติเจน ทั้ง A และ B ส่วนผู้รับคือหมู่ B มีแอนติบอดีa สามารถจับกลุ่มตกตะกอนกับแอนติเจน A ได้ร ถ้าผู้รับมีหมู่เลือด O จะรับเลือดได้เฉพาะหมู่ O เท่านั้น เพราะหมู่ O มีแอนติบอดี ทั้ง a และ b ซึ่งจะตรงกับแอนติเจนของหมู่ A ,B และ AB จึงรับเลือดหมู่อื่นไม่ได้ จะเห็นว่าการให้เลือดนั้นพิจารณาเฉพาะแอนติเจนของผู้ให้กับแอนติบอดีของผู้รับเท่านั้น ไม่ต้องพิจารณาถึงแอนติบอดีของผู้ให้และแอนติเจนของผู้รับ เพราะหากนำมาพิจารณาพร้อม ๆ กัน ก็จะเหลือแต่การให้และรับเฉพาะหมู่เลือดเดียวกันเท่านั้น โดยทั่ว ๆ ไปแล้วแอนติบอดีของผู้ให้ไม่ค่อยมีผลกับแอนติเจนของผู้รับมากนัก เนื่องจากเลือดที่ให้มีปริมาณน้อยกว่าเลือดของผู้รับ การตกตะกอนเกิดขึ้นบ้างเพียงเล็กน้อย การรับและการให้ดังแผนภาพและตารางจึงใช้ได้ นอกจากหมู่เลือดที่สำคัญ 4 หมู่ แล้วยังมีหมู่เลือดอีกหมู่ที่มีความสำคัญแก่ชีวิต นั่นคือ หมู่เลือดระบบ Rh ซึ่งได้มาจากคำว่า Rhesus monkey ซึ่งเป็นลิงวอกชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macaca mulutta หมู่เลือดระบบ Rh แบ่งเป็น 2 พวก คือ Rh+และ Rh- คนที่มีหมู่เลือด Rh+ มีแอนติเจน Rh ที่ผิวเม็ดเลือดแดง แต่ไม่มีแอนติบอดี Rh ในน้ำเลือด คนที่มีหมู่เลือด Rh- ไม่มีแอนติเจน Rh ที่ผิวเม็ดเลือดแดง และไม่มีแอนติบอดี Rh ในน้ำเลือด แต่คนที่มี Rh- นี้สามารถสร้างแอนติบอดี Rh ในน้ำเลือดได้ เมื่อได้รับเลือดหมู่ Rh+ เข้าไป ในการถ่ายเลือดต้องคำนึงถึงเลือด Rh ด้วย เพราะคนที่มีเลือด Rh- ครั้งแรกเมื่อได้รับเลือด Rh+ อาจถูกกระตุ้นให้สร้างแอนติบอดี Rh ในร่างกายผู้รับและมีการสะสมแอนติบอดี Rh ในการรับเลือดคราวต่อไปอาจมีการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดงทำให้ถึงตายได้ ในกรณีที่หญิงมีเลือด Rh- แต่งงานกับชายที่มีเลือด Rh+ หากเกิดทารกในครรภ์มีเลือด Rh+ ซึ่งได้ยีนมาจากพ่อ เลือดทารกในครรภ์นั้นจะกระตุ้นให้แม่สร้างแอนติบอดี Rh ขึ้นมาต่อต้าน Rh+ ทารกคนแรกอยู่ในครรภ์เพียง 9 เดือนแอนติบอดี Rh ของแม่ยังไม่มากพอที่จะทำลาย Rh+ ได้ ลูกคนแรกจึงคลอดออกมาปกติ แต่ถ้าลูกคนถัดมาเกิดมี Rh+ เป็นคนที่สองอีก เลือดของแม่จะสร้างแอนติบอดี Rh เพิ่มมากขึ้น และสามารถส่งเข้าไปยังรกสู่ทารกในครรภ์ ทำให้เม็ดเลือดแดงของทารกจับกลุ่มตกตะกอน ทารกถึงตายได้ โรคนี้เรียกว่า อิริโทรบลาสโทซิส ฟีทาลิส ( Erythroblastosis fetalis ) ��m...�.�...� �q� มู่ AB ได้อีกด้วย
ในประชากรทั้งหมดคนที่มีเลือดหมู่ O จะมีมากที่สุดมีอยู่ราว ๆ 40 – 50 % หมู่ A มีประมาณ 40 % หมู่ B มีอยู่ราว ๆ 10 -50 % หมู่ AB มีอยู่ราว ๆ 5 % หากเขียนตารางรับและการให้หมู่เลือดจะได้ดังนี้
ถ้าผู้รับมีเลือดหมู่ B จะรับเลือดจากหมู่ AB ไม่ได้ เพราะหมู่ AB มีแอนติเจน ทั้ง A และ B ส่วนผู้รับคือหมู่ B มีแอนติบอดีa สามารถจับกลุ่มตกตะกอนกับแอนติเจน A ได้ร ถ้าผู้รับมีหมู่เลือด O จะรับเลือดได้เฉพาะหมู่ O เท่านั้น เพราะหมู่ O มีแอนติบอดี ทั้ง a และ b ซึ่งจะตรงกับแอนติเจนของหมู่ A ,B และ AB จึงรับเลือดหมู่อื่นไม่ได้ จะเห็นว่าการให้เลือดนั้นพิจารณาเฉพาะแอนติเจนของผู้ให้กับแอนติบอดีของผู้รับเท่านั้น ไม่ต้องพิจารณาถึงแอนติบอดีของผู้ให้และแอนติเจนของผู้รับ เพราะหากนำมาพิจารณาพร้อม ๆ กัน ก็จะเหลือแต่การให้และรับเฉพาะหมู่เลือดเดียวกันเท่านั้น โดยทั่ว ๆ ไปแล้วแอนติบอดีของผู้ให้ไม่ค่อยมีผลกับแอนติเจนของผู้รับมากนัก เนื่องจากเลือดที่ให้มีปริมาณน้อยกว่าเลือดของผู้รับ การตกตะกอนเกิดขึ้นบ้างเพียงเล็กน้อย การรับและการให้ดังแผนภาพและตารางจึงใช้ได้ ในคนไทยส่วนใหญ่แล้วไม่ได้คิดเลือดหมู่ Rh- กันเท่าใดนัก เพราะส่วนใหญ่มากกว่า 99 % เป็น Rh+ มีเพียง 1 ใน 500 เท่านั้น ที่เป็น Rh- นอกจากเลือดระบบ ABO และ Rh แล้วยังมีหมู่เลือดอีกมากมาย ซึ่งไม่กล่าวถึงในที่นี้ เช่น หมู่เลือด MN และอื่น ๆ |